
ป๊อปไทยซาจิน ครั้งที่ 2 – นิทรรศการภาพถ่ายแลกเปลี่ยนไทย–เกาหลี
ป๊อปไทยซาจิน ครั้งที่ 2 เป็นนิทรรศการภาพถ่ายแลกเปลี่ยนที่รวบรวมช่างภาพตัวแทนจากประเทศไทยและเกาหลีใต้ จำนวน 5 คน ร่วมถ่ายทอดมุมมองต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ
นิทรรศการจัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย ณ กรุงเทพมหานคร โดยใช้ภาพถ่ายเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับอัตลักษณ์ สังคม และการแสดงออกทางศิลปะ
นอกจากการจัดแสดงผลงานแล้ว ยังมีโปรแกรมเสริม เช่น กิจกรรมพูดคุยกับศิลปิน และจัดพิมพ์แค็ตตาล็อกสองภาษา เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านศิลปะร่วมสมัยอย่างรอบด้าน
นิทรรศการครั้งนี้ได้รับการดูแลโดย “ฮักบง กวัน” ช่างภาพและภัณฑารักษ์ชาวเกาหลีใต้ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการนิทรรศการ ทำหน้าที่เชื่อมโยงมุมมองของศิลปินทั้งสองชาติให้กลายเป็นประสบการณ์ร่วมที่กลมกลืน
ป๊อปไทยซาจิน ครั้งที่ 2 – นิทรรศการภาพถ่ายแลกเปลี่ยนไทย–เกาหลี
นิทรรศการ “ป๊อปไทยซาจิน ครั้งที่ 2” จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ณ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย กรุงเทพฯ
ถือเป็นมากกว่างานแสดงภาพถ่าย เพราะมันเป็นความพยายามเชิงสร้างสรรค์ในการใช้ “ภาพถ่าย” เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมไทยและเกาหลี
คำว่า “PhapthaySajin” มาจากการรวมกันของคำว่า “ภาพถ่าย” ในภาษาไทย (phapthay) และ “사진 (sajin)” ในภาษาเกาหลี สื่อถึงการรวมสองภาษา สองมุมมองให้กลายเป็นภาษาใหม่
เช่นเดียวกับชื่อ นิทรรศการนี้คือบทสนทนาระหว่างศิลปินทั้งสองประเทศที่พยายามสะท้อนและตีความวัฒนธรรมของกันและกันผ่านเลนส์ของตน
หลังจากที่เริ่มต้นจัดครั้งแรกในปี 2019 และหยุดชะงักไปถึง 3 ปีจากสถานการณ์โควิด นิทรรศการนี้ได้กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่
โดยมีฮักบง กวัน รับบทเป็นผู้อำนวยการด้านศิลปะ ดูแลทุกกระบวนการ ตั้งแต่แนวคิด การคัดเลือกผลงาน ไปจนถึงการจัดแสดง
มีศิลปินภาพถ่ายตัวแทนจากไทยและเกาหลีเข้าร่วมรวม 5 ท่าน โดยเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายน ณ แกลเลอรีของศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีใจกลางกรุงเทพฯ
การคัดเลือกศิลปินในครั้งนี้มีความหมายในตัวของมันเอง
ฝั่งประเทศไทย มี “กานตา พูลพิพัฒน์” ศาสตราจารย์และช่างภาพสารคดีที่บันทึกผู้คนและวิถีชีวิตของชาวเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน
และ “โสภิรัตน์ เมืองคำ” ศิลปินรุ่นใหม่ผู้ใช้ภาพนู้ดในการสำรวจความสัมพันธ์ข้ามรุ่นและบทบาทของผู้หญิงในครอบครัว
โดยเฉพาะงานของโสภิรัตน์ในชุด “BLOOD MAKES YOU RELATED. LOYALTY MAKES YOU FAMILY”
ได้สื่อสารความรู้สึกที่ทั้งท้าทายและลึกซึ้งผ่านการใช้คนในครอบครัวของตนเองเป็นแบบ
จากฝั่งเกาหลี มี “คิม ฮงฮี” ศิลปินที่มีผลงานระดับนานาชาติ นำเสนอซีรีส์ “Korea Now”
ซึ่งจับภาพความเป็นจริงในช่วงโควิดของสังคมเกาหลี ผ่านมุมมองที่เชื่อว่า “การคงอยู่ของชีวิต คือการดำรงอยู่ของความธรรมดา”
ศาสตราจารย์ “แอนนา ลิม” นำเสนอผลงานสองชุด “Romantic Soldiers” และ “Frozen Object”
โดยใช้ภาพถ่ายร่วมสมัยถ่ายทอดความทรงจำร่วมของสังคม พื้นที่แห่งสงคราม และตำนานฮีโร่ในมุมมองส่วนตัว
ส่วน “ฮักบง กวัน” ซึ่งทำหน้าที่ทั้งเป็นศิลปินและผู้อำนวยการ
นำเสนอผลงานชุดใหม่ในหัวข้อ “About Human Nature”
เป็นการตั้งคำถามถึงธรรมชาติของมนุษย์ การดำรงอยู่ และความหมายของร่องรอยทางอารมณ์และกายภาพในโลกปัจจุบัน
แม้ภายในแกลเลอรีจะแบ่งโซนจัดแสดงตามศิลปิน
แต่ผลงานแต่ละชุดได้รับการจัดวางอย่างสอดคล้องกันอย่างเป็นธรรมชาติ
ผู้ชมสามารถเดินชมอย่างอิสระท่ามกลางความแตกต่างระหว่างภาพสารคดีกับภาพศิลป์ ระหว่างการจัดฉากกับการบันทึกจริง
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ แม้แต่ละศิลปินจะใช้วิธีเล่าเรื่องต่างกัน
แต่ทั้งหมดล้วนตั้งคำถามร่วมกันว่า “เราจะจดจำอะไร” และ “เราจะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจได้อย่างไร”
ในวันเปิดนิทรรศการ ยังมีการจัดกิจกรรม “พูดคุยกับศิลปิน”
ผู้ชมสามารถพูดคุยโดยตรงกับศิลปินเกี่ยวกับแนวคิด เบื้องหลังการผลิต และมุมมองต่อผลงาน
บรรยากาศได้รับความสนใจอย่างมากจากนิสิต นักศึกษาศิลปะ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้รักศิลปะในกรุงเทพฯ
แค็ตตาล็อกนิทรรศการผลิตในรูปแบบสองภาษา (ไทย-เกาหลี)
แจกจ่ายไปยังสถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ต่อยอดในบริบทการเรียนการสอนหรือการวิจัยได้ในอนาคต
นิทรรศการครั้งนี้ไม่ใช่แค่การนำผลงานของศิลปินสองประเทศมาจัดแสดง
แต่เป็นพื้นที่สำหรับการตั้งคำถาม ตอบโต้ และเข้าใจซึ่งกันและกันในกรอบของสังคม ความทรงจำ และอัตลักษณ์ที่แตกต่าง
ภาพถ่ายเป็นภาษาที่ไร้พรมแดน
สามารถเชื่อมโยงผู้คนและสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกินคำพูด
PhapthaySajin ได้พิสูจน์อีกครั้งว่า “ภาพถ่าย” คือภาษาที่มนุษย์ที่สุดในบรรดาภาษาทั้งหมด
เมื่อจบนิทรรศการ ผมได้ตอกย้ำความเชื่อเดิมของผมอีกครั้ง
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่แท้จริงไม่ได้เริ่มจากการนำเสนอ
แต่มันเริ่มจากการรับฟัง และเข้าใจสายตาของกันและกัน
และในบรรดาเครื่องมือที่เรามี ภาพถ่ายคือเครื่องมือที่ตรง ซื่อสัตย์ และทรงพลังที่สุด
ภาพถ่ายจากศิลปินไทยและเกาหลีที่มาบรรจบกันในกรุงเทพฯ
ได้กลายเป็นภาษาใหม่—ภาษาที่ถือกำเนิดขึ้นจากการมองเห็นร่วมกัน