Colors of Thailand

รวมชีวิตของไทยไว้ในภาพ ด้วยสายตาที่เคารพในความแตกต่าง

นิทรรศการเดี่ยว | ฮักบง กวัน

Colors of Thailand

หลังจากใช้เวลาหลายปีในการบันทึกภาพวิถีชีวิตอันหลากหลายของประเทศไทย
นิทรรศการนี้คือการรวบรวมชิ้นส่วนแห่งการเดินทางเหล่านั้นให้กลายเป็นเรื่องราวเดียว
ตั้งแต่เสื้อผ้าและประเพณีของชนเผ่าพื้นเมือง ไปจนถึงฉากชีวิตประจำวันรอบชานเมือง
ทุกภาพถ่ายล้วนเกิดจากสายตาที่มองด้วยความเคารพและเห็นคุณค่าในความงาม
เพราะสำหรับข้าพเจ้า ภาพถ่ายควรจะเป็นเหมือน “บทกวีสั้น ๆ” ที่ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็น แต่ยังต้องสามารถสะกิดใจของผู้ชมได้ด้วย
แนวคิดนี้คือแก่นของนิทรรศการครั้งนี้

  • ระยะเวลา: 24–29 พฤศจิกายน 2017
  • สถานที่: แกลเลอรี Cho Why, กรุงเทพฯ ประเทศไทย

ตลอดเวลาหลายปีที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย
สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนที่สุดคือ
ดินแดนแห่งนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ และประเพณีมากกว่าที่ข้าพเจ้าเคยคาดคิด
แม้พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทและวัฒนธรรมภาคใต้จะเป็นโครงสร้างร่วมที่แข็งแกร่ง
แต่ภายในโครงสร้างนั้น ยังมีสีสันของชนเผ่าพื้นเมือง และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลายสอดแทรกอยู่

สำหรับคนอย่างข้าพเจ้า ผู้เติบโตมาในประเทศที่เน้นความเป็นชาติเดียว วัฒนธรรมเดียว
สังคมไทยกลับเต็มไปด้วยความซับซ้อน และเสน่ห์ที่แปลกใหม่
ข้าพเจ้าเคยตั้งใจไว้เสมอว่าจะจัดแสดงผลงานเกี่ยวกับ “ความหลากหลายของไทย” สักวันหนึ่ง
และนิทรรศการนี้ ถือเป็นโอกาสแรกในประเทศไทย
ที่ได้รวบรวมฉากชีวิตต่าง ๆ ที่เคยถ่ายแยกไว้ให้กลายเป็นเรื่องราวสายเดียวกัน

บางภาพเป็นผลงานจากโปรเจกต์ยาวนานที่บันทึกวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย
บางภาพเกิดจากการเดินเล่นในย่านที่ภรรยาของข้าพเจ้าอาศัยอยู่
ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ข้าพเจ้าพยายามถ่ายทอดความสง่างามและศักดิ์ศรีของผู้คนเสมอ
ข้าพเจ้าเลือกใช้แสงและเทคนิคจากการถ่ายภาพเชิงพาณิชย์
เพื่อข้ามขอบเขตระหว่างสารคดีกับความงามในเชิงองค์ประกอบ
แม้ข้าพเจ้าจะตระหนักดีว่าวิธีนี้อาจถูกวิจารณ์ว่าไม่เข้ากับแนวทางของ “สารคดีอย่างจริงจัง”

แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า ภาพถ่ายคือบันทึกของความสัมพันธ์
ระหว่างผู้ถ่าย กับผู้ถูกถ่าย — ซึ่งไม่อาจแยกจากกันได้
ข้าพเจ้าไม่ได้ปกปิดความสัมพันธ์นั้น แต่กลับเผยให้เห็นอย่างชัดเจน
เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่ซื่อสัตย์

บางคนเชื่อว่าสารคดีที่แท้จริงต้องเปิดเผยความเจ็บปวด ความมืด และตั้งคำถามต่อสังคม
ข้าพเจ้ารู้สึกเคารพแนวทางเช่นนั้น แต่ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า
ภาพถ่ายสามารถพูดได้ด้วยตัวมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาของสื่อมวลชน
ศิลปะไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ และ “ความแตกต่าง” ก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง
ข้าพเจ้าไม่ได้อ้างว่าวิธีของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ข้าพเจ้าเพียงอยากเป็นหนึ่งในเสียงของความหลากหลายนั้น

ในยุคปัจจุบัน ภาพถ่ายสารคดีดูเหมือนจะตกอยู่ในกรอบของ “เรื่องเล่า” มากเกินไป
จนสูญเสียพลังทางภาพ
ข้าพเจ้าอยากให้ “ภาพหนึ่งใบ” มีน้ำหนักเท่ากับ “บทกวีที่จบในตัวเอง”
ศิลปะทางสายตา ควรได้รับการรับรู้ด้วยสายตา
หากผู้ชมสามารถรู้สึกกับภาพนั้นได้ แม้เพียงเล็กน้อย ภาพก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์แล้ว

การวิเคราะห์ทางสังคมอย่างลึกซึ้ง หรือข้อเท็จจริงเชิงวิชาการ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของนักข่าว และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญที่ทำสิ่งเหล่านั้นมาตลอดชีวิต
แต่ภาพถ่ายคือศิลปะที่เล่าเรื่องด้วยแสงและรูปทรง
แม้ภาพยนตร์จะขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปะแห่งการเล่าเรื่อง
แต่ผู้กำกับหลายคนยังคงกล่าวว่า ภาพยนตร์ที่ดีต้องมี “จังหวะของบทกวี”
หนังที่พยายามจะเล่าทุกอย่าง มักจะผลักคนดูออกไป
จากแนวคิดนี้ ข้าพเจ้าจึงมองภาพถ่ายว่าเป็น “สุภาษิตภาพ” (aphorism) — ประโยคสั้นที่ทรงพลัง

หากภาพเพียงหนึ่งหรือสองใบสามารถกระทบใจคนได้
ข้าพเจ้าเชื่อว่านั่นคือแก่นแท้ของภาพถ่าย

นิทรรศการนี้คือการจัดระเบียบเศษเสี้ยวแห่งสายตาของข้าพเจ้า
ต่อชีวิตของไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ฤดูกาลและชีวิตประจำวัน
เสื้อผ้าและความเชื่อ
ใบหน้าและภูมิทัศน์

ข้าพเจ้ามิได้เพียงต้องการบันทึกสิ่งเหล่านี้
แต่ต้องการแสดงความเคารพต่อ “ความเป็นมนุษย์” ที่แม้จะแตกต่างกันภายนอก
แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างลึกซึ้งจากภายใน

เขียนที่ลำปาง
ปี 2017
ฮักบง กวัน

ขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้จากใจจริง