
The Korean Gaze 2025
นิทรรศการ The Korean Gaze 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 6 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์ศิลปะบ้านตึก จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย
โดยเป็นนิทรรศการภาพถ่ายเพื่อการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างศิลปินจากเกาหลีใต้และไทย โดยมีช่างภาพชาวเกาหลีประมาณ 20 คน และศิลปินไทยรุ่นใหม่ 4 คนเข้าร่วม
นิทรรศการนี้เน้นการถ่ายทอดเมือง มนุษย์ และภูมิทัศน์ ผ่านมุมมองเฉพาะของแต่ละศิลปิน ภายใต้ธีม “มุมมองของชาวเกาหลี”
นอกจากการจัดแสดงผลงานแล้ว ยังมีการจัดเวิร์กช็อปแบบสำรวจพื้นที่เมืองเชียงใหม่ควบคู่กัน ซึ่งช่วยส่งเสริมการสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีส่วนร่วมของศิลปินไทยรุ่นใหม่ 4 คน ได้เติมพลังสดใหม่ให้กับงานนี้ และเวิร์กช็อปขนาดเล็กแบบเข้มข้นก็ได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม
The Korean Gaze 2025
นิทรรศการ The Korean Gaze ครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่ศูนย์ศิลปะบ้านตึก จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2568
โดยใช้คำสำคัญ “มุมมองของชาวเกาหลี” เป็นแกนกลางของงาน
งานนี้จัดโดย PhapthaySajin และผมรับหน้าที่ดูแลในฐานะผู้ควบคุมภาคสนาม
ช่างภาพชาวเกาหลีราว 20 คน และศิลปินไทยที่ได้รับเชิญ 4 คน ได้มาร่วมกันบันทึกภาพของเมือง ธรรมชาติ และมนุษย์
ผ่านภาษาภาพถ่ายเฉพาะตน
ผลงานที่จัดแสดงเน้นจังหวะของชีวิตมากกว่าการจัดฉากที่หวือหวา
เน้นความแตกต่างของ “วิธีมอง” และ “วิธีพูดกับภาพ”
แนวทางของนิทรรศการนี้ ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศ
แต่คือการนำ “ชั้นของสายตา” มาวางขนานกัน เพื่อเปรียบเทียบและเปิดพื้นที่แห่งการสะท้อนระหว่างกัน
ศิลปินเกาหลีมุ่งมองภาพของชีวิตประจำวัน ความทรงจำ และเนื้อแท้ของเมืองอย่างลึกซึ้ง
ขณะที่ศิลปินไทยตั้งคำถามกับประเด็นรุ่นวัย ความสัมพันธ์ และชุมชน
ผู้ชมหลายคนให้ความเห็นว่า “ช่วงเวลาที่สองมุมมองซึ่งมีจังหวะที่ต่างกันได้มาบรรจบกันในพื้นที่เดียวกัน”
คือตอนที่เกิดพลังและความประทับใจสูงสุด
นิทรรศการครั้งนี้ ยังได้ขยายออกไปนอกพื้นที่แกลเลอรี
ด้วยเวิร์กช็อปขนาดเล็กแบบเข้มข้นที่จัดระหว่างการแสดงงาน
โดยมีศิลปิน 5 คนเข้าร่วมเดินสำรวจตรอกซอกซอย วัด และตลาดของเชียงใหม่
เรียนรู้จังหวะของแสงและเวลา
ช่วงเย็นจะมีการรีวิวภาพร่วมกัน โดยทุกคนได้รับคำแนะนำเชิงลึก
ด้วยขนาดกลุ่มที่เล็ก ทำให้สามารถปรับตารางได้ยืดหยุ่น และช่วยให้ศิลปินเข้าใจเจตนาและจุดอ่อนของงานตนเองได้ชัดเจน
ผู้เข้าร่วมทุกคนให้คะแนนความพึงพอใจสูง
และความรู้สึกที่ได้จากพื้นที่จริงก็สะท้อนกลับสู่ผลงานทันที
ผู้ชมในเชียงใหม่ให้การตอบรับอย่างจริงจัง
หลายคนยืนนิ่งดูภาพเป็นเวลานาน และมีผู้กล่าวถึงบ่อยครั้งว่า
“นี่คืออารมณ์ที่คุ้นเคยในเมืองที่ไม่คุ้นเคย”
หลังจากเปิดงานแล้วยังมีผู้ชมกลับมาอีกครั้งด้วยความสมัครใจ
และในช่วงพูดคุยกับศิลปิน ก็มีคำถามจริงจังเกี่ยวกับเทคนิค วิธีคิด และจริยธรรมการถ่ายภาพ
หลังจบงานยังมีคำขอจากโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่นให้แบ่งปันผลงานต่อไป
แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่งานครั้งเดียว แต่กำลังกลายเป็นบทสนทนาในระบบนิเวศศิลปะท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีส่วนร่วมของศิลปินไทยรุ่นใหม่ทั้ง 4 คน
มุมมองของพวกเขาสร้างความ “แตก” อย่างสดชื่นให้กับโครงสร้างของงาน
การเบี่ยงจากมุมที่คุ้นเคย หรือการมุ่งจับรายละเอียดเล็กน้อยอย่างตั้งใจ
เป็นแรงกระตุ้นที่ดีต่อศิลปินเกาหลีด้วย
ในช่วงวิจารณ์ผลงานร่วมกัน มีความเห็นร่วมว่า
“อย่าพยายามหาคำตอบที่ถูกต้อง แต่จงฝึกฝนพลังในการมองจนสุดทาง”
ซึ่งนับว่าเป็นผลลัพธ์อันแท้จริงของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้
ในฐานะผู้อำนวยการนิทรรศการภาคสนาม
ผมออกแบบการจัดวางภาพ แสง และระยะห่างระหว่างผลงานตามจังหวะของ “การหายใจ”
ให้ภาพแต่ละชิ้นไม่แย่งกันบนผนังเดียวกัน แต่สอดคล้องอย่างสมดุล
จัดจังหวะสลับระหว่างแรง–เบา–กลาง เพื่อไม่ให้สายตาผู้ชมเหนื่อยล้า
ส่วนเวิร์กช็อปก็ใช้โครงสร้างแบบ 3 องก์: เช้าเก็บภาพ – บ่ายตัดต่อ – เย็นรีวิว
ส่งผลให้นิทรรศการและเวิร์กช็อปทำงานร่วมกันเสมือน “สตูดิโอขนาดใหญ่”
ที่ภายในนั้น ภาษาเฉพาะของแต่ละศิลปินได้พัฒนาไปอย่างเงียบงาม
The Korean Gaze 2025 ไม่ได้ถามว่า “เรามองอะไร”
แต่มันถามว่า “เรามองอย่างไร”
สัญชาติเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ใช่บทสรุป
และภาพถ่าย คือแผนที่ที่จับต้องได้ที่สุด
ที่สามารถนำจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันให้มาบรรจบกันได้
แม้งานจะจบลงแล้ว
แต่เส้นสายของแผนที่นั้นยังคงเติบโต
ในตรอกเชียงใหม่ บนโต๊ะทำงานของศิลปิน
และในสมุดโน้ตของโปรเจกต์ต่อไป